เหตุใดคนสมัยนี้จึงเป็นภูมิแพ้กันเยอะ

เหตุใดคนสมัยนี้จึงเป็นภูมิแพ้กันเยอะ

ข้อมูลในปัจจุบัน พบเด็กทั่วโลกมีแนวโน้มป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ (Allergies) มากเป็นประวัติการณ์ พบเห็นได้ชัดในประเทศแถบตะวันตก โดยนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าการเกิดโรคนี้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะเหตุใด สำหรับข้อมูลในประเทศไทย พบสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน

โดยโรคภูมิแพ้ เป็นกลุ่มของโรคที่แสดงอาการได้กับหลายระบบของร่างกาย อาการของโรคภูมิแพ้ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคภูมิแพ้ที่เป็น เช่น ถ้าเป็นที่ตาจะมีอาการคันและเคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม แสบตา เรียกว่า โรคเยื่อบุตาอักเสบภูมิแพ้ (allergic conjunctivitis) ถ้าเป็นที่จมูกจะมีอาการจาม คันจมูก น้ำมูกไหลออกมาทางจมูก หรือไหลลงคอ คัดจมูก คันเพดานปากหรือคอ เรียกว่า โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (allergic rhinitis) หรือโรคแพ้อากาศ ถ้าเป็นที่หลอดลมจะมีอาการไอ หอบเหนื่อย หายใจขัด แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด หายใจลำบากหรือหายใจเร็ว โดยเฉพาะเวลาตอนกลางคืน ตอนเช้ามืด หรือขณะออกกำลังกาย เรียกว่า โรคหลอดลมอักเสบ ภูมิแพ้หรือโรคหืด (asthma) ถ้ามีอาการที่ผิวหนัง เรียกว่า โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (atopic dermatitis) ถ้ามีอาการที่ระบบทางเดินอาหาร เรียกว่า โรคแพ้อาหาร (food allergy) เป็นต้น (ข้อมูลจาก www.si.mahidol.ac.th)

สำหรับกลไกการเกิดโรคในเบื้องต้นนั้น จะเกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ แล้วมีการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน จนมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารนั้นมากผิดปกติ หากได้รับสารนั้นเข้าไปอีก ภูมิคุ้มกันดังกล่าวก็จะกระตุ้นให้เกิดอาการผิดปกติขึ้นอีก ทั้งนี้ เชื่อว่าโรคภูมิแพ้มีสาเหตุมาจากปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งวิถีการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ ก็เป็นสิ่งสำคัญ

โรคภูมิแพ้เป็นได้เกือบทุกวัยและรักษาไม่หายขาด โดยอาการจะเป็น ๆ หาย ๆ ตามเหตุที่มากระตุ้น โดยต้องมีเหตุที่กระตุ้นทำให้เกิดอาการนำมาก่อน เช่น ความเครียด นอนหลับไม่เพียงพอ วิตกกังวล เสียใจ สูดหรือสัมผัสฝุ่นควัน อากาศเปลี่ยน มีการติดเชื้อ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อาการดังกล่าวสามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ โดยควรไปพบแพทย์เมื่อมีอาการข้างต้น สำหรับแนวทางการรักษารวมถึงการป้องกัน มีดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ หากผู้ป่วยได้รับการทดสอบภูมิแพ้ และทราบว่าตัวเองแพ้อะไร การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้อย่างถูกวิธี ก็จะทำให้อาการดีขึ้น แต่หากไม่ได้ ทดสอบภูมิแพ้ อาจใช้วิธีสังเกตว่า ได้รับสารอะไรแล้วมีอาการ ก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น ทั้งนี้ รวมถึงการหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่อาจเป็นตัวกระตุ้นได้ เช่น สถานที่ฝุ่นละอองมาก สถานที่หรือบ้านที่มีการเลี้ยงสัตว์ภายในบ้าน บริเวณที่มีละอองเกสรดอกไม้ หรือมีควันบุหรี่มาก เป็นต้น
  2. การใช้ยา เช่น ยารับประทาน ยาพ่นเข้าจมูก หรือยาสูดเข้าหลอดลม ซึ่งผู้ป่วยควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  3. การฉีดวัคซีน เป็นการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง โดยแพทย์จะทดสอบภูมิแพ้ก่อนว่าแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดใด แล้วฉีดสารก่อภูมิแพ้ชนิดนั้น ๆ เพื่อให้ร่างกายผู้ป่วยค่อย ๆ ปรับภูมิต้านทานขึ้นทีละน้อย จนในที่สุดร่างกายมีภูมิต้านทานต่อสิ่งที่แพ้ได้ การรักษาด้วยวิธีนี้ใช้เวลาประมาณ 3 - 5 ปี

เห็นแบบนี้แล้วผู้อ่านจะพบว่าการหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีตัวกระตุ้นที่เป็นสารก่อภูมิแพ้เยอะ ๆ เป็นสิ่งสำคัญ นั่นหมายรวมถึงการทำความสะอาดห้อง บริเวณบ้าน ที่ทำงานหรือสถานที่ที่เราอยู่เป็นประจำด้วย ฝากเพื่อน ๆ ทุกคนด้วยนะคะ

 

มา “สุขใจเพราะเราเลือกดูแลกัน” ด้วยการรู้เท่าทัน “เหตุใดคนสมัยนี้จึงเป็นภูมิแพ้กันเยอะ” เมื่อไอให้นึกถึงเฟลมเม็กซ์ และเมื่อรู้สึกระคายเคืองในลำคอให้นึกถึง Flemomile สเปรย์สำหรับช่องปากและลำคอนะคะ

 

 

Recent Post

icon-%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b9%87%e0%b8%9a-aqua-maris-05-9-598icon-%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b9%87%e0%b8%9a-aqua-maris-05-9-599icon-%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b9%87%e0%b8%9a-aqua-maris-05-9-5910icon-%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b9%87%e0%b8%9a-aqua-maris-05-9-5911icon-%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b9%87%e0%b8%9a-aqua-maris-05-9-5912icon-%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b9%87%e0%b8%9a-aqua-maris-05-9-5913icon-%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b9%87%e0%b8%9a-aqua-maris-05-9-5914

Sharing

Facebooktwitterredditpinterestlinkedinmail

Follow Us

Facebooktwitterlinkedinrssyoutube