5 โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่มากับหน้าฝน
โรคฮิต ฤดูฝนนี้ จะมาทำความรู้จักกลุ่ม โรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากในฤดูฝนนั้นอากาศเปลี่ยนแปลงค่อนข้างบ่อย มีความชื้นมากทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและแพร่เชื้อได้ดี หากถูกฝนก็มีโอกาสเจ็บป่วยมีโอกาสเกิดโรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจได้ง่าย จากสถิติเมื่อปี พ.ศ. 2556 พบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบมากเป็นอันดับที่ 2 และเป็นโรคที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตรวมเป็นอันดับที่ 1 จึงควรเตรียมพร้อมเพื่อรับมือและป้องกันโรคติดเชื้อทางระบบทางเดิน
หายใจกัน
กลุ่มโรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ
1. โรคหวัด (Acute Rhinopharyngitis: Common cold)
โรคหวัด หรือ ไข้หวัด (Acute Rhinopharyngitis : Common cold) เป็นโรคติดเชื้อที่พบบ่อยมากที่สุดโรคหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งมีหลายสายพันธุ์ พบบ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว หรือโดยเฉพาะช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง สามารถพบผู้ติดเชื้อได้ทุกช่วงอายุ ในเด็กเล็กสามารถเป็นได้หลายครั้งในแต่ละปี ในผู้ใหญ่จะเป็นน้อยลงตามลำดับ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น โดยเฉลี่ยเด็กจะเป็นโรคหวัด 6-12 ครั้งต่อปี ผู้ใหญ่จะเป็น 2-4 ครั้งต่อปี ความรุนแรงของโรคไม่มาก และสามารถหายเองได้ภายในไม่กี่วัน เนื่องจากเกิดจากการติดเชื้อไวรัสจึงเน้นรักษาประคับประคองอาการจนอาการหาย ดีเอง
การติดต่อ
ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งมีอยู่มากกว่า 100 ชนิด โดยส่วนใหญ่มักเป็นเชื้อไวรัสประเภทคอรีซา (Coryza virus) ได้แก่ไรโนไวรัส (Rhinovirus)) และอื่นๆ ติดต่อผ่านทางน้ำมูก น้ำลายและเสมหะ โดยการหายใจเอาเชื้อที่กระจาย จากการไอหรือหายใจรดกัน หรือมือที่เปื้อนเชื้อโรคสัมผัสจมูกหรือตา ระยะเวลาแพร่เชื้อสามารถแพร่ได้ก่อนเกิดอาการและ 1-2 วันหลังเกิดอาการ
อาการที่พบ
เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่เยื่อบุโพรงจมูก เชื้อจะเกาะและเข้าสู่เซลล์เยื่อบุ แบ่งตัวเพิ่มจำนวนและทำให้เซลล์ถูกทำลาย เกิดการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูก เยื่อบุบวมและแดงพบว่ามีการหลั่งของเมือกออกมา ใช้เวลาฟักตัวประมาณ 1-3 วัน (โดยเฉลี่ย 10-12 ชั่วโมง) จึงจะแสดงอาการ อาการของโรคหวัด ได้แก่ คัดจมูก น้ำมูกไหลลักษณะใส ไอ จาม เจ็บคอ เสียงแหบ อาจมีอาการไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะเล็กน้อย ในผู้ใหญ่อาการจะน้อยมากอาจมีแค่คัดจมูกและน้ำมูกไหล (ยกเว้นผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคทางการหายใจ) อาการของโรคมักเป็นไม่เกิน 2-5 วัน แต่อาจมีน้ำมูกไหลนาน 10-14 วัน
การปฏิบัติตัวของผู้ที่เป็นโรค
- เนื่องจากเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่จึงใช้วิธีการรักษาตามอาการ เช่น ยาลดน้ำมูก ยาลดไข้ จนอาการหายดีเอง การใช้ยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็นจะทำให้เชื้อแบคทีเรียเกิดการดื้อยาได้
- พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ (ควรเป็นน้ำอุ่น) รักษาร่างกายให้อบอุ่น รับประทานอาหารอุ่น
- หลีกเลี่ยงการจามหรือสั่งน้ำมูกอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้น้ำมูกที่มีเชื้อโรคเข้าไปในไซนัสเกิดการอักเสบติดเชื้อได้
- เวลาไอหรือจามให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูก
การป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้คนที่เป็นโรคหวัด ลดการสัมผัสกับผู้ป่วย หรือใช้ของร่วมกับผู้ป่วย หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้ล้างมือหลังสัมผัส อย่าเอามือสัมผัสหรือถูจมูก หรือขยี้ตา
- พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ป่วยที่กำลังไอหรือจาม หลีกเลี่ยงที่มีคนแออัดในช่วงที่มีการระบาด
- การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ไม่สามารถป้องกันโรคหวัดได้ เนื่องจากเป็นเชื้อไวรัสคนละชนิด
อาการที่ควรไปพบแพทย์
เมื่อน้ำมูกหรือเสมหะ เหลืองเขียว ปวดหู หูอื้อ ปวดศีรษะมาก ไข้สูง มีอาการหอบเหนื่อย ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยภาวะแทรกซ้อน หากมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกายมาก อาจเป็นไข้หวัดใหญ่ไม่ใช่โรคหวัด
ภาวะแทรกซ้อน
- คนที่เป็นโรคหวัดบางส่วน จะมีการติดเชื้อของแบคทีเรียซ้อนร่วมด้วย ทำให้มีอาการน้ำมูกข้น สีเหลืองหรือเขียว มีเสมหะเขียว
- ไซนัสอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้อน
- เยื่อบุตาอักเสบ
- หลอดลมอักเสบ หรือ ปอดอักเสบ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคหอบหืด หรือ ถุงลมในปอดโป่งพอง เมื่อเป็นโรคหวัด จะทำให้อาการหอบเหนื่อยรุนแรงมากขึ้น
2. ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดต่อที่เกิดการระบาดใหญ่เป็นครั้งคราว เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) หรือไวรัสไข้หวัดใหญ่ พบบ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว เชื้อไวรัสสามารถแพร่ระบาดได้ทั่วโลก โดยแต่ละปีทั่วโลกจะมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ประมาณร้อยละ 15ของประชากรทั้งหมด พบได้ในทุกช่วงอายุ ในเด็กเล็กจะติดเชื้อได้ง่าย ส่วนผู้สูงอายุเมื่อติดเชื้อจะมีอาการรุนแรงกว่า ความรุนแรงโรค อาจมีแค่อาการไข้สูง ไอ ปวดตามร่างกาย หรือรุนแรง มีอาการปอดอักเสบ การรักษาใช้การรักษาประคับประคองอาการ หรือยาต้านไวรัสในรายที่รุนแรง ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งได้ผลดีมากในการช่วยลดความรุนแรงของโรค
การติดต่อ
ไวรัสไข้ หวัดใหญ่ มีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์เอ (Influenza A virus) พบได้ประมาณร้อยละ 80 เป็นสาเหตุของการระบาดใหญ่บ่อยครั้ง, ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี (influenza B virus) พบบ่อยรองลงมา และไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ซี (Influenza C virus) มีความรุนแรงน้อยไม่ค่อยมีความสำคัญ
เชื้อไวรัสติดต่อผ่านทางน้ำมูก น้ำลายและเสมหะ โดยการหายใจเอาเชื้อที่กระจาย จากการไอหรือหายใจรดกัน หรือมือที่เปื้อนเชื้อโรคสัมผัสจมูก ผู้ที่มีเชื้อไวรัสในร่างกายสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนที่จะมีอาการ และต่อไปได้อีก 3-5 วันหลังจากที่มีอาการแล้ว หรือบางรายไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อได้เช่นกัน
อาการที่พบ
หลัง จากเชื้อไวรัสเข้าสู่ทางเดินหายใจ ใช้เวลาฟักตัวประมาณ 1-7 วัน (โดยเฉลี่ย 2-3 วัน) จะเริ่มแสดงอาการ อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ ไข้สูงเฉียบพลัน (39-40 องศาเซลเซียส) ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออ่อนเพลียมาก อาจมีอาการคัดจมูก ไอ จาม เจ็บคอ น้ำมูกไหลลักษณะใส หลอดลมอักเสบ อาจมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น เบื่ออาหาร ถ่ายอุจจาระเหลว คลื่นไส้อาเจียน โดยส่วนใหญ่อาการจะหายเป็นปกติได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อน ส่วนมากจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ภาวะแทรกซ้อนที่พบ ได้แก่
- โรคปอดอักเสบติดเชื้อ หลอดลมอักเสบ หากอาการรุนแรงมากจะเกิดภาวะการหายใจล้มเหลวได้
- ภาวะสมดุลน้ำผิดปกติ เนื่องจากมีไข้สูง ดื่มน้ำได้น้อยลง หรือมีอาเจียน
- กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (พบน้อย)
- สมองอักเสบ หรือ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (พบน้อย)
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคหอบหืด หรือ ถุงลมในปอดโป่งพอง เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่ จะทำให้อาการหอบเหนื่อยรุนแรงมากขึ้น
ผู้ป่วยกลุ่มที่เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูง ได้แก่
- ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป หรือเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ได้แก่ โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน
- ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเอชไอวี (เอดส์) มะเร็ง เอสแอลอี (โรคพุ่มพวง) เป็นต้น
- เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่รับประทานยาแอสไพรินเป็นเวลานาน
- หญิงที่ตั้งครรภ์ หรือ ผู้ป่วยโรคอ้วน
การปฏิบัติตัวของผู้ที่เป็นโรค
- เนื่องจากเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่จึงใช้วิธีการรักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ จนอาการหายดีเอง การใช้ยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็นจะทำให้เชื้อแบคทีเรียเกิดการดื้อยาได้
- ในรายที่มีอาการรุนแรง หรือมีความเสี่ยงสูง อาจพิจารณาการใช้ยาต้านไวรัส
- พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ (ควรเป็นน้ำอุ่น) รักษาร่างกายให้อบอุ่น อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเท
- เวลาไอหรือจามให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูก หรือสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ
- ในเด็กเล็กควรเช็ดตัวลดไข้บ่อยๆ เพราะไข้สูงอาจกระตุ้นให้ชักได้ วิธีการเช็ดตัวควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดาเช็ด ไม่ควรใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็งเช็ดตัว
- ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ภูมิต้านทานโรคน้อย เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง หรือผู้ป่วยที่กินยากดภูมิคุ้มกันอยู่
การป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้คนที่เป็นโรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ลดการสัมผัสกับผู้ป่วย หรือใช้ของร่วมกับผู้ป่วย หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้ล้างมือหลังสัมผัส อย่าเอามือสัมผัสหรือถูจมูก หรือขยี้ตา
- พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ป่วยที่กำลังไอหรือจาม หลีกเลี่ยงที่มีคนแออัดในช่วงที่มีการระบาด
- การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ และผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ปัจจุบันแนะนำให้ฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลควรฉีดทุก 1 ปีเนื่องจากมีการเปลี่ยนสายพันธุ์บ่อย
อาการที่ควรไปพบแพทย์
- ผู้ที่มีอาการรุนแรง หายใจหอบเหนื่อย แน่นหน้าอก อ่อนเพลียมาก รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้ หรือมีอาการนานกว่า 7 วัน
- ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน หากมีอาการข้างต้น สงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ควรไปพบแพทย์
- หากมีอาการไข้สูงนานประมาณ 3 วัน ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาการที่เป็นอยู่อาจมีสาเหตุมาจากโรคอื่นที่คล้ายกันได้ เช่น ไข้เลือดออก
3. คออักเสบ (Acute Pharyngitis)
โรคคออักเสบ (Acute Pharyngitis) เกิดจากเยื่อบุภายในคออักเสบ เป็นโรคติดเชื้อที่พบบ่อยมากส่วนใหญ่ สามารถพบผู้ติดเชื้อได้ทุกช่วงอายุ ในเด็กจะพบได้บ่อยกว่า ความรุนแรงของโรคไม่มาก มักมีอาการกลืนเจ็บ แสบคอ และสามารถหายได้เองภายในไม่กี่วัน แต่การติดเชื้อแบคทีเรียอาจทำให้มีอาการนาน การรักษาจะเน้นการรักษาประคับประคองอาการจนหายดี
การติดต่อ
ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส (40-80%) รองลงมาเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย (20%) เชื้อไวรัสส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Rhinovirus, Adenovirus และ Coronavirus อาการส่วนใหญ่คล้ายๆกันและเป็นไม่มากนัก เชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรค ที่พบมากที่สุดและมีความสำคัญมากคือ กลุ่มสเตรปโตคอกคัส Streptococcus spp. (โดยเฉพาะ S. pyogenes) เชื้อติดต่อผ่านทางน้ำมูก น้ำลายและเสมหะ โดยการหายใจเอาเชื้อที่กระจาย จากการไอหรือหายใจรดกัน หรือมือที่เปื้อนเชื้อโรคสัมผัสจมูก ช่องปาก ระยะเวลาแพร่เชื้อสามารถแพร่ได้ก่อนเกิดอาการและหลังเกิดอาการ (ระยะเวลานานขึ้นกับชนิดของเชื้อ)
อาการที่พบ
บริเวณที่เป็นคออักเสบจะอยู่พื้นที่ระหว่างหลังโพรงจมูกกับกล่องเสียง เมื่อเชื้อเข้ามาจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและทำลายเซลล์ เกิดการอักเสบ เชื้อไวรัสมักใช้เวลาฟักตัวประมาณ 1-3 วัน ส่วนเชื้อแบคทีเรีย (กล่าวถึงกลุ่มสเตรปโตคอกคัส) ใช้เวลาฟักตัวประมาณ 2-5 วัน อาการคออักเสบ ได้แก่ อาการเจ็บคอ กลืนเจ็บ ไอ ปวดศีรษะ ไข้ อาจพบต่อมน้ำเหลืองโต ถ้าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียจะมีอาการไข้สูง เจ็บคอมาก คอแดงมาก มีจุดหนองที่คอ เพิ่มเติม อาการมักดีขึ้นเองภายใน 7-10 วัน แต่ในกลุ่มติดเชื้อสเตรปโตคอกคัสอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้
การปฏิบัติตัวของผู้ที่เป็นโรค
- กรณีที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่จึงใช้วิธีการรักษาตามอาการ เช่น ยาแก้เจ็บคอ ยาแก้ไอ ยาลดไข้จนอาการหายดีเองกรณีที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย พิจารณาการใช้ยาฆ่าเชื้อและต้องรับประทานจนครบตามแพทย์สั่ง
- พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ (ควรเป็นน้ำอุ่น แต่ถ้าเจ็บคอมากอาจจิบน้ำเย็นเพื่อลดอาการเจ็บได้) รักษาร่างกายให้อบอุ่น อาจจิบน้ำผึ้งผสมน้ำมะนาว
- เวลาไอหรือจามให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูก
การป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้คนที่เป็นโรคหวัดหรือคออักเสบ ลดการสัมผัสกับผู้ป่วย หรือใช้ของร่วมกับผู้ป่วย หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้ล้างมือหลังสัมผัส อย่าเอามือสัมผัสหรือถูจมูก
- พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ป่วยที่กำลังไอหรือจาม หลีกเลี่ยงที่มีคนแออัดในช่วงที่มีการระบาด
อาการที่ควรไปพบแพทย์
มีอาการน้ำมูกหรือเสมหะเหลืองเขียว ปวดหู หูอื้อ ไข้สูง หายใจหอบเหนื่อยหรือมีอาการแทรกซ้อนอื่น หรืออาการคออักเสบเป็นอยู่นานเกิน 7 วัน หรือเมื่อรักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน
ภาวะแทรกซ้อน
ในคออักเสบชนิดติดเชื้อไวรัส ภาวะแทรกซ้อนมีโอกาสเกิดได้น้อยมาก มักเกิดจากการที่มีการติดเชื้อของแบคทีเรียซ้อนร่วมด้วย (ยกเว้นเชื้อไวรัสบางชนิดที่พบไม่บ่อย เช่น Ebstein-Barr virus (EBV) จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก) ในคออักเสบชนิดติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะกลุ่มสเตรปโตคอกคัส แบ่งภาวะแทรกซ้อนได้เป็น
- ภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับหนอง มักเกิดจากเชื้อโรครุกล้ำบริเวณใกล้เคียง ได้แก่ ฝีรอบต่อมทอนซิล ฝีข้างคอหอย ฝีที่ผนังคอหอย ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองที่คออักเสบ
- ภาวะแทรกซ้อนที่ไม่เกี่ยวกับหนอง เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ไว้ต่อสู้กับเชื้อ มาทำลายอวัยวะของผู้ป่วยเอง ได้แก่ ไข้รูห์มาติก, โรคหัวใจรูห์มาติก, ไตอักเสบ เป็นต้น
4. โรคปอดอักเสบ (Pneumonia)
โรคปอดอักเสบ หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า “ปอดบวม” เป็นโรคทางระบบทางเดินหายใจที่เกิดการติดเชื้อบริเวณปอดเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย และทำให้เกิดการอักเสบ บวม มีน้ำหรือหนองอยู่ภายในถุงลมปอด ทำให้การแลกเปลี่ยนอากาศทำได้ไม่ดี พบบ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว โรคปอดอักเสบสามารถพบผู้ติดเชื้อได้ทุกช่วงอายุ แต่ในเด็กอายุน้อยกว่า 4 ปีและผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปี มีโอกาสเกิดความรุนแรงของโรคได้มากกว่า โรคปอดอักเสบทำให้เกิดอาการไอ หายใจลำบาก และหายใจหอบเหนื่อย ในรายที่มีอาการมากอาจเสียชีวิตได้ การรักษาอาจพิจารณาใช้ยาฆ่าเชื้อตามชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ ร่วมกับการให้ออกซิเจนเสริม และการรักษาตามอาการจนอาการหายดี
เชื้อที่ก่อโรค
เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุได้แก่เชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสที่พบบ่อยได้แก่ อดิโนไวรัส (Adenovirus), อินฟลูเอนซา (ไข้หวัดใหญ่ : Influenza), พาราอินฟลูเอนซา (Parainfluenza) และ อาร์เอสวี (Respiratory syncytial virus : RSV) เชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยได้แก่ สเตรปโตคอกคัส (Streptococcus pneumoniae), ฮีโมฟิลุส (Haemophilus influenzae), มอแรกเซลลา (Moraxella catarrhalis) และ ไมโคพลาสมา (Mycoplasma pneumoniae)
การติดต่อ
ติดต่อผ่านทางน้ำมูก น้ำลายและเสมหะ โดยการหายใจเอาเชื้อที่อยู่ในละอองฝอยกระจาย จากการไอหรือหายใจรดกัน หรืออาจเกิดจากการสำลักเชื้อลงสู่ปอด เช่น สำลักน้ำลาย อาหาร (โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ) ระยะเวลาแพร่เชื้อขึ้นกับชนิด ของเชื้อและสามารถแพร่เชื้อได้จนกว่าเชื้อใน เสมหะจะน้อยลงมาก การระบาดสามารถเกิดได้ในบริเวณที่มีคนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก ค่ายทหาร เรือนจำ
อาการที่พบ
เมื่อเชื้อลงมาที่ทางเดินหายใจส่วนล่าง คือ ปอดและถุงลมปอด เชื้อจะแบ่งตัวและทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อปอด ต่อมาภูมิคุ้มกันของร่างกายจะเข้ามาทำลายเชื้อ เกิดการอักเสบบวมมากขึ้น และมีน้ำหรือหนองอยู่ภายในถุงลมปอดแทนที่อากาศ ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนอากาศระหว่างถุงลมและเลือดทำได้ไม่ดี ทำให้ผู้ป่วยมีภาวะขาดออกซิเจนในร่างกาย มีอาการไอ หายใจเร็ว หายใจลำบาก หายใจหอบเหนื่อยมากขึ้น
อาการของโรคปอดอักเสบ โดยทั่วไป ได้แก่ ไข้ ไอมีเสมหะ หายใจเร็ว หายใจลำบาก หอบเหนื่อย หายใจเจ็บหน้าอก ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมี หายใจแรงจนจมูกบาน บางรายเกิดหลอดลมภายในปอดตีบจนหายใจดังวี๊ด (คล้ายหอบหืด) ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก จะมีภาวะการหายใจล้มเหลว ร่างกายขาดออกซิเจนมากทำให้ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยน หงุดหงิด สับสน ซึมลง หมดสติ และเสียชีวิตได้ ระยะเวลาการเป็นโรคขึ้นกับชนิดของเชื้อโรคและความรุนแรงของโรค
การป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีคนแออัด โดยเฉพาะเด็กเล็ก ลดการสัมผัสกับผู้ป่วย หรือใช้ของร่วมกับผู้ป่วย หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้ล้างมือหลังสัมผัส อย่าเอามือสัมผัสหรือถูจมูก หรือขยี้ตา
- พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ป่วยที่กำลังไอหรือจาม หลีกเลี่ยงที่มีคนแออัดในช่วงที่มีการระบาด
- การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ และผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ปัจจุบันแนะนำให้ฉีดวัคซีนได้ ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลควรฉีดทุก 1 ปีเนื่องจากมีการเปลี่ยนสายพันธุ์บ่อย
- การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอพีดี (Invasive Pneumococcal Disease : IPD) ป้องกันและลดความรุนแรงจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอกคัส (Streptococcus pneumoniae) โดยเฉพาะเด็กและผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ผู้ที่ควรฉีด ได้แก่
• ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังเช่น เบาหวาน โรคหอบหืด ถุงลมโป่งพอง พิษสุราเรื้อรัง ตับแข็ง ไตวายเรื้อรัง โรคหัวใจ,โรคไต
• ผู้ที่ถูกตัดม้าม ไม่มีม้ามตั้งแต่กำเนิด หรือ ม้ามทำหน้าที่ไม่ดี
• ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี (เอดส์) ผู้ที่เป็นมะเร็งได้ยาเคมีบำบัด หรือผู้ที่ได้ยากดภูมิคุ้มกัน
อาการที่ควรไปพบแพทย์
เมื่อมีอาการไข้ ไอ หายใจหอบเหนื่อย อาการเข้าได้กับโรคปอดอักเสบ ควรไปพบแพทย์ทันที หรือ มีอาการไอปนเลือด หายใจเหนื่อยมากขึ้น หายใจเจ็บหน้าอกมาก แน่นหน้าอก มีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด
ภาวะแทรกซ้อน
โดยปกติโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเกิดได้ไม่มาก ยกเว้นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะมีโอกาสเกิดได้มากกว่า ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้ได้แก่
- มีน้ำหรือมีหนอง ในช่องเยื่อหุ้มปอด หรืออาจเกิดปอดแตก และเกิดปอดแฟบได้
- มีฝีหรือโพรงหนองที่ปอด หรือ มีหนองที่หลอดลม
- ภาวะหายใจล้มเหลว ต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจ และอาจเสียชีวิตได้
- ภาวะหัวใจล้มเหลว หัวใจอักเสบ (พบได้น้อย)
5. หลอดลมอักเสบ (Acute Bronchitis)
โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) สามารถแบ่งได้เป็นชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง ในชนิดที่จะกล่าวถึงนี้คือ โรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute Bronchitis) เป็นโรคทางระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อที่หลอดลม หลอดลมในร่างกายมีขนาดใหญ่และจะแตกแขนงเป็นขนาดเล็กย่อยๆจนกว่าจะถึงถุงลม ปอด เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เยื่อบุหลอดลมเกิดการอักเสบบวม ทำให้การไหลผ่านอากาศทำได้ไม่ดี พบบ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว พบผู้ติดเชื้อได้ทุกช่วงอายุ โรคหลอดลมอักเสบทำให้เกิดอาการไอมาก มีเสมหะ หายใจลำบาก การรักษามักใช้การรักษาประคับประคองตามอาการจนอาการหายดี
การติดต่อ
ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยส่วนใหญ่ได้แก่เชื้อ อดิโนไวรัส (Adenovirus), ไรโนไวรัส (Rhinovirus), อินฟลูเอนซา (ไข้หวัดใหญ่ : Influenza), พาราอินฟลูเอนซา (Parainfluenza) และ อาร์เอสวี (Respiratory syncytial virus : RSV) ส่วนน้อยเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย คือ ไมโคพลาสมา (Mycoplasma) และ คลาไมเดีย (Chlamydia) การติดต่อผ่านทางน้ำมูก น้ำลายและเสมหะ โดยการหายใจเอาเชื้อที่อยู่ในละอองฝอยกระจายอยู่ในอากาศ จากการไอ
หรือหายใจรดกัน ระยะเวลาแพร่เชื้อสามารถแพร่ได้ก่อนเกิดอาการและหลังเกิดอาการ
อาการที่พบ
เมื่อเชื้อเข้าสู่ทางเดินหายใจบริเวณหลอดลม เชื้อจะแบ่งตัวและทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุหลอดลมและบวมมากขึ้น ส่งผลให้หลอดลมตีบแคบ อากาศไหลผ่านหลอดลมเข้าปอดได้ไม่ดี หายใจลำบาก ในรายที่หลอดลมตีบมาก ๆ จะหายใจดังวี้ดได้ และจากการอักเสบทำให้การขับเสมหะของเยื่อบุหลอดลมไม่ดี ส่งผลให้เกิดอาการไอมากขึ้น อาจไอแห้ง ๆ หรือไอมีเสมหะ อาจมีอาการอื่นๆคล้ายอาการของโรคหวัด เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล ไข้ต่ำๆ ได้ อาการของโรคหลอดลมอักเสบ ส่วนใหญ่มักหายได้เองภายใน 7-10 วัน แต่อาการไอแห้งๆอาจเป็นได้นานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือนอาการไอ จะไอบ่อยครั้ง ไอถี่ๆ หรือเป็นชุด อาจมีอาการเจ็บกล้ามเนื้อหน้าอกหรือชายโครงได้ ในบางรายอาจมีปัสสาวะเล็ดได้
การปฏิบัติตัวของผู้ที่เป็นโรค
- เนื่องจากส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่จึงใช้วิธีการรักษาตามอาการ เช่น ยาละลายเสมหะ ยาแก้ไอ ยาขยายหลอดลม จนอาการหายดีเอง ส่วนการติดเชื้อแบคทีเรียอาจพิจารณาการใช้ยาฆ่าเชื้อ
- พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ (ควรเป็นน้ำอุ่น) รักษาร่างกายให้อบอุ่น รับประทานอาหารอุ่น
- เวลาไอหรือจามให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูก หรือสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งเมื่อสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรือ เสมหะ
- งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ ฝุ่น เขม่าควันต่าง ๆ หรือสารที่ระคายเคืองทางเดินหายใจ
การป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้คนที่เป็นโรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ลดการสัมผัสกับผู้ป่วย หรือใช้ของร่วมกับผู้ป่วย หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้ล้างมือหลังสัมผัส อย่าเอามือสัมผัสหรือถูจมูก
- พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ ควันไฟ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ หรืออากาศที่หนาวเย็น
- หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ป่วยที่กำลังไอหรือจาม หลีกเลี่ยงที่มีคนแออัดในช่วงที่มีการระบาด
อาการที่ควรไปพบแพทย์
มีอาการไอมาก ไอถี่ๆ หรือ มีอาการไอปนเลือด มีเสมหะข้นกลิ่นเหม็น หรือ มีไข้สูง หายใจหอบเหนื่อยมากขึ้น แน่นหน้าอก มีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด หรือมีโรคประจำตัวเดิมเป็นโรคปอดเรื้อรัง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม
ภาวะแทรกซ้อน
- หลอดลมอักเสบจากเชื้อไวรัส อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้อนร่วมด้วย ทำให้มีอาการไอมาก มีเสมหะข้นสีเหลืองหรือเขียว ทำให้ระยะเวลาดำเนินโรคนานกว่าปกติ
- โรคปอดอักเสบ พบได้ประมาณ 5 ใน 100 จะมีอาการไข้ ไอมีเสมหะ หายใจหอบเหนื่อย อาการหอบเหนื่อยจะแย่กว่าหลอดลมอักเสบ
Cr. ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ ในเครือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน), BangkokHealth.com
Recent Post
- อาการที่บอกว่าออกกำลังกายไม่ได้ผล
- ล้างจมูก ลดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ไอเรื้อรัง
- การล้างจมูก สำหรับเด็กเล็ก
- ทำไมลูกจึงไอเรื้อรัง
- ทำไมต้องฝึก ปั๊มหัวใจ
- ประโยชน์และวิธีการล้างจมูก
- โรคริดสีดวงจมูก
- รู้แบบนี้แล้ว ออกกำลังกายดีกว่า
- ล้างจมูกให้ถูกวิธี ง่ายนิดเดียว
- ล้างจมูก สูดไอน้ำร้อน หายใจโล่ง แก้หวัด
- ออกกําลังกายแบบไหน เผาผลาญได้ดีที่สุด
- วิ่งอย่างไร เลิกเสร็จได้กลับบ้านแน่ ๆ
- ทำไมคุณแม่ควรล้างจมูกให้ลูก
- การล้างจมูกสำหรับเด็กเล็ก
- ทำไมต้อง “วิ่งเทรล”
- มลภาวะทางอากาศ มหันตภัยต่อสุขภาพของคนเอเชีย
- เล่นสกปรกเลอะเทอะ กระตุ้นภูมิคุ้มกันจริงหรือ
- คลายข้อสงสัย…เรื่องล้างจมูก (ตอนที่ 2)
- ล้างจมูก ช่วยลดภูมิแพ้ และไม่ป่วยง่าย
- 7 สิ่งสกปรก ที่คนเราสัมผัสตลอดเวลา
- การล้างจมูกให้ลูกน้อย
- ฝึกหายใจ แบบนักวิ่ง
- วิธีล้างจมูกแบบไหน เหมาะกับลูกเรา
- ใช้ดีบอกต่อ รีวิว : อควา มาริส เบบี้ สเปรย์พ่นจมูกสำหรับเด็กอ่อน
- หนูน้อยภูมิแพ้ กับการดูแลสุขภาพหน้าหนาว
- โรคฮิตหน้าฝน หมั่นดูแลสุขภาพป้องกันได้
- อาหารต้านภูมิแพ้
- ล้างจมูกช่วยลดโอกาสเกิดภูมิแพ้ และอาการป่วยจากระบบทางเดินหายใจ
- 5 โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่มากับหน้าฝน
- คลายข้อสงสัย การล้างจมูก
- 4 วิธีรับมือหน้าฝนอย่างง่าย ๆ เพื่อสุขภาพแข็งแรง
- วิธีการขับเสมหะในปอดและลำคอ
- อันตรายในหน้าฝน
- เคยสงสัยกันไหมว่า… ทำไมเราต้องล้างจมูก
- เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน อากาศเปลี่ยน จะเสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง
- 6 โรคหน้าฝน ที่ไม่รัก
- วิธีเตรียมตัวรับมือกับ “โรค” ที่มาพร้อมหน้าฝน
- ส่องวิธีรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพตามแบบฉบับสวีเดน
- โลกจะต้องเผชิญปัญหาอะไร เมื่อยาปฏิชีวนะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
- ระวังบ้านชื้น มีรา ก่อปัญหาทางเดินหายใจ
- พิพิธภัณฑ์ อึ ในญี่ปุ่น ให้ผู้คนได้เล่นสนุกกับอึหลากสีสัน
- เหตุใดคนสมัยนี้จึงเป็นภูมิแพ้กันเยอะ
- กัญชา: พืชร้ายหรือสมุนไพรทางเลือก
- พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
- ล้างจมูก วิธีทำความสะอาดจมูกง่าย ๆ ด้วยตนเอง
- โรคพึงระวังในช่วงหน้าร้อน
- ฝุ่นพิษเกิดขึ้นได้ อยู่กลางแจ้งต้องระวัง
- เล่นน้ำสงกรานต์อย่างไร ไม่เป็นหวัด
- สาดน้ำสงกรานต์อย่างปลอดภัย
- การแก้ปัญหา PM 2.5 ของประเทศอื่น
- สดร. พัฒนาแบบจำลองค้นหาพยากรณ์อากาศ ต้นตอฝุ่น PM 2.5
- ทำความรู้จัก “ปอดอุดกั้นเรื้อรัง” อีกผลกระทบปริมาณฝุ่นเกินมาตรฐาน
- ที่เธอเห็น ค่าฝุ่นมันขึ้นมา
- ฝุ่นละออง PM 2.5 รับมืออย่างไร…ให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ
- อควา มาริส สตรอง ตัวเลือกช่วยล้างน้ำมูก…แก้คัดแน่นจมูก
- มลพิษทางอากาศมาจากไหน
- ฝุ่นเยอะต้องระวัง…โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ในเด็ก
- “4 แอปพลิเคชัน วัดค่าฝุ่นละออง” โหลดด่วน! รู้ทันมลพิษ PM2.5
- 5 จังหวัดอากาศดี หนีมลภาวะฝุ่นพิษ PM 2.5
- “เด็กเล็ก” เสี่ยงรับฝุ่นพิษ PM 2.5 มากกว่าผู้ใหญ่
- รัฐบาลแถลงด่วน 9 มาตรการสู้ฝุ่นพิษ
- ทำไมสเปรย์พ่นจมูกจึงช่วยเรื่องฝุ่นพิษ PM 2.5 ได้
- ฝุ่นพิษภัยเงียบทำลายสุขภาพของคนเมือง ที่ป้องกันได้
- เลือกผ้าปิดจมูกอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน
- รู้จัก PM 2.5 ฝุ่นจิ๋วสุดร้าย บ่อนทำลายสุขภาพ
- 5 ทะเลสวยหน้าหนาวที่น่าไปสุด ๆ สำหรับคนเป็นภูมิแพ้
- โรคภูมิแพ้จมูก…ใช่โรคเดียวกับภูมิแพ้อากาศหรือเปล่านะ
- ภูมิแพ้ในเด็ก ค่อย ๆ ปรับแก้อย่างไรให้ได้ผล
- ต้องสังเกต…ขี้มูกสีแบบนี้ไม่ดีแน่!!
- 4 วิธีสั่งน้ำมูกอย่างปลอดภัย
- เคล็ดไม่ลับ 3 วิธีลดบุหรี่ บรรเทาไอ ปัญหาทางเดินหายใจอย่างได้ผล
- 5 สมุนไพรกินแก้คัดจมูก
- จัดห้องนอนให้เคลียร์…ไม่ต้องเพลียเพราะปัญหาภูมิแพ้
- มะเร็งโพรงจมูก…ภัยเงียบที่ต้องระวัง
- ภูมิแพ้เกสรดอกไม้…บรรเทาได้ด้วยเคล็ดลับจากท้องทะเล
- รู้หรือไม่…จมูกก็บอกโรคได้นะ
- 9 วิธีเอาชนะโรคภูมิแพ้ด้วยตัวเอง
- เจ้าตัวเล็กแพ้อากาศ คุณพ่อคุณแม่ช่วยบรรเทาได้ด้วย 4 วิธีสุดเบสิก
- 5 วิธีบรรเทาอาการระคายเคืองจมูกด้วยตัวเองง่าย ๆ
- มารับมือกับโรคภูมิแพ้ของลูก ในฤดูหนาวกันดีกว่า
- โรคภูมิแพ้อากาศในเด็กหายได้ เพียงแค่รู้วิธี
- โรคภูมิแพ้อากาศหนาว โรคแปลกที่กำเริบหนักในฤดูหนาว
- 4 เทคนิคง่าย ๆ เคลียร์จมูกลูกให้โล่งด้วยสองมือแม่
- ฤดูหนาวเข้ามาเยือน แพทย์เตือนต้องระวังโรค… ไข้หวัดใหญ่
- โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ที่มักพบบ่อยในช่วงฤดูหนาว
- “มลพิษ” ภัยคุกคามสุขภาพคนไทย
- ทำความรู้จัก โรคภูมิแพ้ อันตรายถึงชีวิต! หากไม่รู้วิธีดูแลที่ถูกต้อง
- โรคแพ้อากาศหายได้ เพียงแค่รู้วิธีดูแลตนเอง
- หายใจติดขัด มีกลิ่นคาวที่จมูก น้ำมูกเยอะ หรือจะเป็น “ริดสีดวงจมูก”
- 5 ข้อควรรู้!! ดูแลตัวเองอย่างไร ให้ปลอดภัยจากไรฝุ่น
- ทะเลดีกับเราอย่างไร
- 5 กลุ่มโรคอันตรายที่มากับหน้าฝน
- ไขปัญหาข้องใจ “ไซนัสอักเสบ” เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
- ทำไมถึงคัดจมูก
- คัดจมูก น้ำมูกอุดตัน หายใจไม่ออก ทำยังไงดีนะ
- สั่งน้ำมูกมีเลือดปน คนเป็นหวัดอย่านิ่งนอนใจ
- 5 วิธีพิชิตโรคภูมิแพ้ได้ไม่ยาก
- “มลพิษในอากาศ” อันตรายต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด
- โรคภูมิแพ้ รู้ทัน ป้องกันได้
- รู้เท่าทัน ป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจในฤดูฝน
- เมืองกรุงมลพิษสะสม บั่นทอนระบบหายใจ
- การดูแลลูกน้อย ด้วยตัวช่วยดี ๆ
- ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โรคยอดฮิตที่ไม่ควรมองข้าม
- เช็คอาการส่อไซนัส
- ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ทำไมเป็นกันมากขึ้น
- ลูกแค่เป็นหวัด หรือไซนัสอักเสบ
- 4 โรคอันตราย จากไรฝุ่นในบ้าน
- มลพิษทางอากาศ ภัยร้ายของคนเมือง
- ดูแลตัวเองเมื่อป่วยแพ้อากาศ ช่วงหน้าฝน
- เตรียมรับมือ ‘อาการคัดจมูก’ ในฤดูในฝน
- อันตรายจากฝุ่นกับ โรคร้ายแรงเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจที่ต้องระวัง
- วิธีแก้คัดจมูก คัดจมูกหายใจไม่สะดวกแก้อย่างไร
- ลูกเป็นภูมิแพ้ แพ้อากาศบ่อย ๆ พ่อแม่ช่วยลูกได้ด้วยวิธีเหล่านี้
- การรักษาไซนัสอักเสบเบื้องต้นด้วยตัวเอง
- การหายใจขจัดความเครียด
- โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ ที่พบได้บ่อยในหน้าฝน
- แพ้อากาศ ยามฝนตก
- ไขข้อสงสัย ทำไมเปียกฝนแล้วต้อง เป็นหวัด
- ช่วงฤดูฝน…ภูมิแพ้ต่าง ๆ ต้องพึงระวัง
- จามและคัดจมูกจากแพ้อากาศ
- “ไซนัสอักเสบ” หายได้ถ้ารู้เท่าทัน!
- ภูมิชีวิตดี หลีกหนีไซนัสอักเสบ
- โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ช่วงอากาศเปลี่ยน
- การรักษาผู้ป่วยที่มีริดสีดวงจมูก
- วิธีรักษาโรคภูมิแพ้อากาศ
- มลพิษในอากาศ กับโรคภูมิแพ้ของระบบทางเดินหายใจ
- โรคริดสีดวงจมูก
- “มลพิษในอากาศ” อันตรายต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด
- หายใจให้ถูกวิธี พาชีวีแข็งแรง
- จาม ไอ น้ำมูกไหล จากฝุ่นในบ้าน
- “ทะเล” ตัวช่วยเยียวยาสุขภาพ
- วิธีแก้อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล
- โรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบทางเดินหายใจในเด็ก
- สาเหตุที่พบบ่อยของอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง
- ไซนัสอักเสบ นับเป็นโรคติดต่อหรือไม่ ?
- หายใจเพื่อสุขภาพ
- การตรวจรักษาอาการหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล ไซนัส
- ใครบ้างที่เสี่ยงป่วยเป็น ‘ไซนัสอักเสบ’ ได้
- 5 เหตุผลที่การไปทะเลนั้นดีต่อสุขภาพ
- Aqua Maris Junior Nasal Spray and Baby Nasal Drops
- น้ำมูกเรื้อรัง ระวัง !!! ไซนัสอักเสบ
- โรคหวัดภูมิแพ้
- วิธีเพิ่มออกซิเจนในร่างกาย …เคล็ดลับสำหรับคนรักสุขภาพ
- โรคไซนัสอักเสบในเด็ก
- จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคภูมิแพ้
- เที่ยวทะเลแบบไหนที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
- ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้จาก “ไซนัสอักเสบ”
- โรคภูมิแพ้มีสาเหตุมาจากอะไร
- 5 วิธีการหายใจ ปรับเปลี่ยนชีวิตคุณ
- หายใจคลายเครียด
- ไรฝุ่นก่อภูมิแพ้ อันตรายของคุณแม่ตั้งครรภ์
- เตรียมพร้อมการฝึกหายใจสไตล์โยคะ
- “ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน” กับ “ไซนัสอักเสบเรื้อรัง” แตกต่างกันอย่างไร
- ภาวะแทรกซ้อนจากโรคภูมิแพ้จมูก
- มหัศจรรย์การหายใจ ให้ชีวิตยืนยาว
- มลพิษทางอากาศกับระบบทางเดินหายใจ
- โรคภูมิแพ้อากาศ ทำไมถึงแพ้ อาการและสาเหตุ?
- ระวังอันตรายที่มากับ โรคภูมิแพ้จมูก หรือ โรคภูมิแพ้อากาศ
- ไซนัสอักเสบ
- ร่างกายต้องการทะเลจริง ๆ นะ
- 8 วิธีหายใจที่ถูกต้องเพื่อสุขภาพ
- “โรคระบบทางเดินหายใจ” เมื่อสูด “ฝุ่นละออง” เข้าไป
- ศาสตร์แห่งน้ำทะเลเพื่อสุขภาพ
- 7 วิธีปฏิบัติ ทำอย่างไรให้หายจากโรคแพ้อากาศ
- ฝึกลมหายใจเพื่อการดีท็อกซ์
- โรคภูมิแพ้ รู้ทันป้องกันได้
- น้ำทะเลบำบัด (Thalassotherapy)
- เพิ่มพลังด้วยการหายใจ
- อากาศสกปรกทำให้ท่านอายุสั้น
- ทะเลดียังไง…
- การหายใจ… ล้างพิษ
- การใช้ประโยชน์จากน้ำทะเล
- 4 Steps หายใจเพิ่มออกซิเจน
- 13 วิธีป้องกันตนเอง…ในวันที่หมอกควันปกคลุมเมือง
- ฝุ่นละอองและผลต่อสุขภาพ
- วิธีหายใจที่ถูกต้องเพื่อสุขภาพ
- การหายใจที่ถูกต้องช่วยป้องกันและรักษาโรคร้ายได้
- 10 สิ่งดี ๆ จากทะเล ยาวิเศษจากธรรมชาติ
- อากาศที่บริสุทธิ์ กับ การพักผ่อนเพียงพอ
- การตรวจรักษาอาการ “หายใจไม่สะดวก”
- ดูแลสุขภาพหน้าฝน
- แพ้อากาศ ต่างจาก โรคไข้หวัดอย่างไร
- 5 วิธีป้องกันมลพิษในอากาศช่วงตั้งครรภ์
- พลังแห่งสายน้ำ ความอัศจรรย์แห่งการรักษาจิตใจ
- การป้องกันฝุ่นละอองเพื่อสุขภาพที่ดี
- ไซนัสคืออะไร ทำไมมักจะเป็นหลังเป็นหวัด
- วิธีเปิดรับความสุขจากทะเล
- การฝึกหายใจเพียง 15 วินาทีสามารถทำให้จิตใจมีสมาธิได้
- การรักษาโรคหอบหืด ด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด
- บำบัดความสวยด้วยน้ำทะเล
- 6 กลุ่มอาหารช่วยต้านโรคภูมิแพ้
- “โรคระบบทางเดินหายใจ” เมื่อสูด “ฝุ่นละออง”
- รีวิว สเปรย์น้ำทะเลพ่นจมูก ล้างจมูกเด็ก อควา มาริส เบบี้
- 5 วิธีแก้คัดจมูก หายใจไม่ออกตอนเป็นหวัด
- 8 ประโยชน์ดี๊ดี เมื่อคุณไปทะเล !
- Aqua Maris Review
- ขับสารพิษง่าย ๆ ด้วยการหายใจ
- สิ่งดี ๆ จากทะเล ยาวิเศษจากธรรมชาติ
- ทำไมต้องใช้สเปรย์น้ำทะเลพ่นจมูก
- รีวิวสาธิตวิธีการใช้ อควา มาริส เบบี้ สเปรย์ ทำความสะอาดจมูกลูกน้อย
- ทำความสะอาดโพรงจมูกลูกน้อย ด้วยสเปรย์สำหรับพ่นจมูกสำหรับเด็ก อควา มาริส เบบี้ สเปรย์
- รีวิว Aqua Maris Classic แก้แน่นจมูกอากาศเปลี่ยนที่ฮ่องกง
- ดีเคเอสเอช นำ อควา มาริส ผลิตภัณฑ์สำหรับพ่นจมูกจากน้ำทะเลธรรมชาติ สู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- หมดปัญหาแต่งหน้าไป ฟืดฟาดไป! รีวิว Aqua Maris ตัวช่วยดีๆ บอกลาภูมิแพ้ให้ปลอดโปร่งในทุกวัน…
- สเปรย์พ่นจมูกจากน้ำทะเลธรรมชาติ 100% Aqua Maris Strong Nasal Spray
- Aqua Maris Nasal Spray สเปรย์พ่นจมูก ฮีโร่ของคนโพรงจมูกแห้ง
- ผลิตภัณฑ์ “อควา มาริส” (Aqua Maris) สเปรย์สำหรับพ่นหรือล้างจมูก
- การตรวจรักษาอาการหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล ไซนัส
- เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “อควา มาริส” (Aqua Maris) สเปรย์สำหรับพ่นหรือล้างจมูก